Login

Hide

Close



ลัดดาขอบอก เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับประกันสังคม : นายจ้างกับการส่งเงินสมทบ

         27 ก.พ. 50         10,195        

 

                หลาย ๆ บริษัท ยังคงมีปัญหาคาใจเกี่ยวกับ การขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนซึ่งจะเกี่ยวพันไปถึงการหักเงินสมทบประกันสังคมของผู้ที่ดำรงตำแหน่งกรรมการหรือผู้ถือหุ้นของบริษัท  จึงได้เสาะหาข้อมูลมาเพื่อไขข้อข้องใจของท่านดังนี้
                จากข้อมูลที่ทราบ  เมื่อมีผู้ยื่นคำร้องเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว  ทางสำนักงานประกันสังคมเขาจะตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนว่า  ผู้ที่เป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้น ๆ มีนิติสัมพันธ์การเป็นนายจ้างหรือลูกจ้างกันแน่  พูดง่าย ๆ ก็คือว่าถ้าพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ประกอบกับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541  บุคคลผู้เป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้นดังกล่าว  อยู่ในข่ายการเป็น ลูกจ้าง” หรือเป็น นายจ้าง  โดยกฎหมายที่ว่าได้ให้ความหมายพอสรุปได้ว่า
                ลูกจ้าง คือ  ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้แก่นายจ้างเพื่อรับค่าจ้าง โดยอยู่ภายใต้อำนาจบังคับบัญชาของนายจ้างอันหมายความว่าลูกจ้างต้องทำงานตามที่นายจ้างสั่ง  และต้องปฏิบัติตามระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้าง  หากลูกจ้างฝ่าฝืนนายจ้างสามารถลงโทษได้
                สำหรับ นายจ้าง หรือผู้ที่ดำรงตำแหน่ง  กรรมการหรือผู้ถือหุ้น ที่จะไม่อยู่ในข่ายการเป็น “ลูกจ้าง”  จะต้องมีคุณสมบัติดังนี้

  1. เป็นผู้เริ่มก่อการและก่อตั้งบริษัทมาตั้งแต่แรก หรือเป็นผู้ถือหุ้น
  2. ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบข้อบังคับในการทำงานของบริษัท กล่าวคือ  ลักษณะงานไม่เหมือนลูกจ้าง  ไม่มีการสมัครงาน ปฏิบัติงานโดยอิสระ ไม่ต้องมาทำงานในเวลาทำการทุกวัน การลา  ไม่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของบริษัท
  3. ไม่มีผู้บังคับบัญชา
  4. การทำงานให้กับบริษัท เป็นการทำงานในฐานะกรรมการและผู้ถือหุ้นที่ต้องดูแลรักษาผลประโยชน์ของบริษัท  เป็นการทำกิจการด้วยจุดประสงค์เพื่อจะแบ่งปันกำไรอันพึงได้เท่านั้น

                ดังนั้น  หากแม้ว่ามีตำแหน่งเป็น กรรมการ  แต่ไม่ได้เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท  และยังเป็นผู้ที่ถูกว่าจ้างให้ทำงานโดยที่ประชุมผู้ถือหุ้น รวมทั้งจะต้องทำงานอยู่ภายใต้กฎระเบียบข้อบังคับของบริษัท  ซึ่งหากฝ่าฝืน  บริษัทสามารถลงโทษได้  และหากมีการเลิกจ้าง  บุคคลผู้นี้สามารถเรียกค่าชดเชยจากบริษัทได้  ก็จะถือว่ากรรมการผู้นี้เป็น ลูกจ้าง ของบริษัท ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533
                และจากข้อมูลที่ทราบในขณะนี้  มีหลาย ๆ บริษัทที่ผู้ดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ ไม่อยู่ในข่ายการเป็น ลูกจ้าง ของบริษัท เพราะมีคุณสมบัติครบตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นทั้ง 4 ข้อ  เพียงแต่ได้รับค่าตอบแทนจากบริษัทเป็นรายเดือน  ซึ่งผู้ทำหน้าที่หักเงินประกันสังคมของบริษัทก็เข้าใจว่าการรับค่าตอบแทนจากบริษัทก็ถือเป็นค่าจ้าง  ซึ่งจะต้องนำไปหักเงินสมทบประกันสังคมเพื่อนำส่งให้กับสำนักงานประกันสังคมทุกเดือนตามปกติ หากนำมาพิจารณาดู ในเมื่อตนเองเป็น นายจ้าง ก็กลายเป็นว่าตนเองในฐานะ นายจ้าง  ต้องจ่ายเงินสมทบประกันสังคมถึง 2 ส่วน  ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ถึงแม้จะมีสิทธิใช้บริการจากสำนักงานประกันสังคมใน 7 เรื่องที่ทราบกันอยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว  คนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้ไปใช้บริการเหล่านี้  จากสำนักงานประกันสังคมเลย  ยิ่งถ้าพูดถึงระดับอายุ ส่วนใหญ่ก็เลยวัยคลอดบุตรหรือมีบุตรแล้ว  หรือถ้ามีบุตรก็โตเกินกว่าจะใช้บริการสงเคราะห์บุตร  ถ้าพูดถึงฐานะการเงินก็มีพอที่จะใช้จ่ายโดยไม่ต้องพึ่งพาจากรัฐ  ส่วนเรื่องการว่างงานก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง  เพราะคนกลุ่มนี้คงไม่ถูกเลิกจ้างแน่ ๆ ยกเว้นอยากจะทำตัวว่างงานเอง  และตามพระราชบัญญัติประกันสังคมแล้ว บุคคลที่เข้าข่ายเป็น นายจ้าง ก็ไม่ต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนต่อสำนักงานประกันสังคมอีกด้วย
                            ดังนั้น  หากบริษัทใดมีผู้ดำรงตำแหน่งที่เข้าข่ายไม่ได้เป็น “ลูกจ้าง” และยังคงหักเงินสมทบประกันสังคมอยู่ ก็สามารถทำหนังสือถึงฝ่ายเงินสมทบและการตรวจสอบ สำนักงานประกันสังคมในเขตพื้นที่ ที่บริษัทท่านส่งเงินสมทบอยู่  เพื่อแจ้งขอไม่ส่งเงินสมทบของบุคคลที่มีฐานะเป็น “นายจ้าง” พร้อมทั้งขอคืนเงินส่วนที่หักไปแล้ว ซึ่งสำนักงานประกันสังคมจะคืนให้ได้ในบางส่วนด้วย  สำหรับรายละเอียดท่านสามารถขอทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานประกันสังคมทุกแห่ง